เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๘ เม.ย. ๒๕๕๔

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๕๔
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ฟังนะ ฟังแล้วไปบอกต่อๆ กันด้วย ฟังแล้วขอให้บอกต่อกันนิดหนึ่ง สำนักงานด้วยนะให้บอกต่อกันไป

ประกาศ! ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปจะไม่มีการเวียนเทียน การเวียนเทียนยกเลิก วันวิสาขบูชานี่บอกเวียนเทียนไม่มี ฉะนั้นถ้าใครจะเอาเด็กมาเราจะให้กลับเลย ธรรมดาเวียนเทียนมันต้องมีเด็กมารอบหนึ่งใช่ไหม เวียนเทียนตอนหัวค่ำ แล้วจะเทศน์ต่อไปอีก ต่อไปนี้ยกเลิกหมดนะ เวียนเทียนไม่เอาแล้วจบ!

เพราะเราบอกเขาเอง เห็นไหม ว่าธรรมะมันจะออกทะเล ฉะนั้นสิ่งที่ทำมา เพราะว่าตอนที่เราเวียนเทียนกันเพราะหลวงปู่เจี๊ยะท่านสั่งมาเอง หลวงปู่เจี๊ยะท่านพูดตอนสร้างวัดที่โพธาราม บอกว่าวัดไม่ได้สร้างมาเพื่อให้พระอยู่อย่างเดียว สร้างมาเพื่อประโยชน์กับสังคมด้วย ฉะนั้นบอกให้มันทำ บอกให้มันทำ.. บอกให้เราทำเราก็ทำมา จนตอนนี้ครูบาอาจารย์ท่านล่วงไปแล้ว ล่วงไปแล้ว เราจะต้องยืนหลักของเราเองบ้างแล้ว

ฉะนั้นเวียนเทียนยกเลิกนะ บอกต่อๆ กันไป เวียนเทียนไม่มีอีกแล้ว ยกเลิก แต่วันพระ วันสำคัญก็มาภาวนาอย่างเดียว ทีนี้เป็นการภาวนาอย่างเดียวแล้ว มาแล้วต้องภาวนา อย่างวันนี้วันพระ ถ้าเราจะภาวนา เห็นไหม เราต้องการความสงบสงัด แล้วตอนนี้เขามีงาน เขามาบอกไว้แล้ว เขามีงานอยู่ ๒-๓ วัน เขาจะบวชวันที่ ๒๑

ฉะนั้นถ้าเขามีงานนี่ต้องทนเอา เพราะมันเป็นประเพณีของชาวพุทธ ประเพณีเขาจะบวชพระเหมือนกัน ถ้าเขาบวชของเขาเพื่อบุญกุศลของเขา ความรู้ความเห็นของเขา เขาทำเพื่อประโยชน์ของเขาได้เท่านั้น แต่เวลาเราบวชของเรา เห็นไหม เราไม่ต้องบวชพระเราก็มาบวชหัวใจกัน เราบวชหัวใจกัน เราต้องการให้หัวใจเราเข้าสู่ธรรมะ ถ้าเข้าสู่ธรรมะนี่เราต้องการความสงบสงัด

เวลาเขาอยู่ในครัว เห็นไหม เขาทำอาหารของเขา เขาต้องการอุณหภูมิ ต้องการความร้อน ต้องการอะไรของเขา เพื่อให้อาหารของเขาได้ประสบความสำเร็จ เราก็เหมือนกัน เวลาเราจะประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม นี่สัปปายะ ๔ หมู่คณะเป็นสัปปายะ อาจารย์เป็นสัปปายะ อาหารเป็นสัปปายะ สถานที่เป็นสัปปายะ เราก็หาความเป็นสัปปายะเพื่อจะภาวนากัน ทีนี้พอหาความเป็นสัปปายะแล้ว เห็นไหม สถานที่วิเวกจิตต้องวิเวก พอวิเวกมันต้องการความสงบสงัด แต่ความสงบสงัดเราต้องเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกัน

การเอื้อเฟื้อนะ นี่ใจเขาใจเรา เราต้องการสิ่งใดเขาก็ต้องการสิ่งนั้นเหมือนกัน เราต้องการความสงบสงัด ทุกคนที่ภาวนาเขาต้องการความสงบสงัดเหมือนกัน ถ้าเขาต้องการความสงบสงัด เห็นไหม นี่ใจเขาใจเรา ถ้าใจเขาใจเราแล้ว เราจะไม่กระทบกระเทือนกันเลย เพราะเป็นเป้าหมายอันเดียวกัน คือปรารถนาเหมือนกัน ปรารถนาเพื่อเราจะเข้าสู่ธรรมะ เราจะเข้าสู่ธรรม

“สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี”

เราจะมาหาความสุข ความสงบในใจของเรา ถ้าเราจะหาความสุขสงบในใจของเรา เราจะต้องเตรียมพร้อมไง ศีล สมาธิ ปัญญา เราต้องมีศีล มีความปกติของใจ ถ้ามีความปกติของใจแล้วเราภาวนา มันจะเข้าไปสู่ความสงบของใจ หรือความเป็นสมาธิ ถ้าเกิดสมาธิขึ้นมาแล้ว ถ้ามีความสงบสงัดแล้ว ถ้าเกิดปัญญาขึ้นมามันจะเป็นโลกุตตรปัญญา

ถ้าเกิดปัญญาในปัจจุบันนี้เขาเรียกว่าปัญญาอบรมสมาธิ มันเกิดจากโลกียปัญญา คือปัญญาเกิดจากเราทั้งนั้นแหละ ตรึกในธรรมก็ตรึกในปัญญาของเรา เห็นไหม ตรึกในธรรมนี่พอเวลามันเชื่อถือศรัทธา มันก็มีความร่มเย็นเป็นสุขพักหนึ่ง เวลามันสงสัยขึ้นมานะ เอ๊ะ! เอ๊ะ! เอ๊ะ! พอเอ๊ะนี่มันจะเป็นทางสองแพร่งแล้ว ให้จิตนี้มันดิ้นออกไป เห็นไหม

ถ้าจิตมันดิ้นออกไปนี่เพราะอะไร เพราะมันเกิดจากอวิชชา เกิดจากความไม่เข้าใจของเรา เกิดจากภพไง เกิดจากความเห็นของเรา แต่เวลาความสงบของใจเข้ามา ไอ้ความลังเลสงสัยนี้มันจะไม่มี ถ้ามันไม่มีขึ้นมามันก็ทำอะไรไม่เป็น ถ้าไม่เป็นนี่เวลาครูบาอาจารย์ท่านพูด สมาธิคือน้ำล้นแก้ว ถ้าน้ำล้นแก้วแล้วจะทำอย่างไรต่อไป ถ้าน้ำล้นแก้วแล้วเราจะทำประโยชน์กับมันต่อไป เห็นไหม น้ำนั้นเราจะเอาไปทำประโยชน์สิ่งใดล่ะ เราจะดื่มกินก็ได้ เราจะเอาไปใช้สอยประโยชน์สิ่งใดก็ได้

สมาธิ เห็นไหม ถ้ามีความสุขแล้วมันมีความสงบของใจ มันสดชื่นแจ่มใส มันทำงานสิ่งใดมันก็ทำด้วยความมั่นคง มันทำด้วยความสุขของมัน ถ้ามันเอาไปใช้ประโยชน์ขึ้นมา เอาความเป็นสมาธินี้มาใช้ปัญญาของเรา พอปัญญาเกิดขึ้นมาเราจะเห็นคุณค่าของมันเองนะ ใครถ้าไปเห็นเพชร เห็นทอง มันก็มีแร่เหล็กแร่เงิน เพราะมันมีคุณค่ามากกว่ากัน แต่ในปัจจุบันนี้ หิน แร่ธาตุ แร่หินเขาก็ยังเอาไปทำการก่อสร้าง เอาไปทำที่อยู่อาศัยเป็นประโยชน์ของเขานะ

นี่ก็เหมือนกัน ความเห็นของเราในปัจจุบันนี้ เรื่องวิชาชีพของเรา เรื่องความเห็นของเรา เรื่องทำมาหากินของเรา มันก็เป็นประโยชน์กับเราในสังคม ในชีวิตของเรา ในปัจจัยเครื่องอาศัยของเรา แต่เวลาจิตมันทุกข์ร้อนขึ้นมา ข้าวของเงินทองมันจะผ่อนคลายมาความทุกข์ร้อนเราได้ขนาดไหน แต่เวลามันมีธรรมะในหัวใจ เห็นไหม พอมีธรรมะในหัวใจ เราจะมั่งมีศรีสุขเราก็มีความสุขของเรา เราจะทุกข์จนเข็ญใจ แต่หัวใจเรามันพอใจ หัวใจเรารักษาใจเราได้ เราก็มีความสุขของเรา

สถานะสังคมมันก็เป็นเรื่องสถานะของสังคม แต่หัวใจที่มันมีความสุขของมันก็เป็นหัวใจที่มีความสุขของมัน เห็นไหม ถ้ามันมีธรรมในหัวใจขึ้นมา มันมีความสุขของมัน ถ้ามีความสุขของมัน มันมีความสงบระงับของมัน.. จิตดวงนี้ถ้ามันทำถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้ มันจะไม่เวียนตายเวียนเกิดนะ

เวลาชาติหนึ่งๆ เราเกิดขึ้นมา เราก็ซ้ำซากอยู่อย่างนี้ นี่เกิดมาแล้วก็เจริญเติบโตขึ้นมา แล้วก็จะตายไปข้างหน้า แล้วก็จะไปเกิดอีก เกิดเป็นอะไรก็ไม่รู้ ก็มีความลังเลสงสัย นี่จับผิดจับถูกกันไปอยู่อย่างนี้ แต่พอมันชำระล้างจิตใจของมันไปแล้วนะ เห็นไหม ธรรมธาตุ! พอธรรมธาตุนี่ความรู้สึกอันนี้ จิตอันนี้ ถ้าจิตเป็นภพ ความรู้สึกอันนี้ ธรรมธาตุอันนี้มันมีของมันอยู่นะ วิมุตติสุขมันมีของมันอยู่ เห็นไหม

ดูสิความร่มเย็นเป็นสุขของเรา ในหัวใจของเรามันมีความรู้สึกอยู่ แล้วความรู้สึกนี้มันคงที่ของมัน มันไม่เวียนตายเวียนเกิดอีกแล้ว แล้วมันอยู่ที่ไหนล่ะ มันก็อยู่ของมัน มันจะมองมาที่เรานะ มองมาในสังคมมนุษย์ว่าที่กำลังดิ้นรนกันนี้ ทุกข์ยากอยู่นี้เป็นธรรมอย่างไรขึ้นมา แต่สังคมมนุษย์ที่ทุกข์ยากกันอยู่นี้ ทุกข์ยากก็เพื่อจะหาความสุขไง ทุกข์ยาก เห็นไหม เราทำมาหากิน เราอยู่ในสังคม ดูสิแรงเสียดสีจากสังคมมันทำให้เราเลือดซิบๆ ขนาดไหน

โลกธรรม ๘ ธรรมะเก่าแก่.. ธรรมะเก่าแก่นะ หน้าที่การงานเราต้องทำขึ้นมาเพราะอะไร เพราะชีวิตนี้มีค่ามาก ชีวิตนี้ หัวใจนี้เพื่อสัมผัสธรรม หัวใจนี้มันไปรองรับธรรมะ รองรับความสงบสุข ความเกิดปัญญา การชำระถอดถอนในตัวมันเอง นี่ถ้าไม่มีหัวใจ ไม่มีความรู้สึก ไม่มีชีวิตนี้ เอาอะไรไปปฏิบัติ ถ้าไม่มีชีวิตนี้มันจะเอาอะไรไปสุขไปทุกข์ ก็มันมีชีวิตนี้มันถึงได้สุขได้ทุกข์นี่ไง เพราะมันมีชีวิตนี้ไงมันถึงได้ดิ้นรนอยู่นี่ไง

เพราะมีชีวิตมันถึงดิ้นรน ดิ้นรนโดยกิเลส ดิ้นรนโดยทางโลก แต่เรามีธรรมในหัวใจ เห็นไหม เราจะดิ้นรนเหมือนกัน ดูสิเวลาพระธุดงค์นี่ธุดงค์ไปทำไม เข้าป่าเข้าเขาไปนี่ อู้ฮู.. ไปขึ้นเขาลงห้วยไปทำไม ก็ไปหาหัวใจของตัวไง นี่มันไม่สงบ มันไม่ระงับ อยู่กับหมู่คณะแล้วมันนอนใจ ไปแล้วไปอยู่ในที่สงบสงัด ไปอยู่กับช้างกับเสือกับสัตว์ป่า มันต้องระวังตัว พอระวังตัวเพื่อให้หัวใจมันมีสติปัญญาของมัน

ไปแล้วเวลามันไปกลัวสิ่งใด เห็นไหม ถ้าคนไม่มีหลักเกณฑ์ พอกลัวแล้วมันก็เก็บบริขารวิ่งเข้าวัดเลย วิ่งกลับมาสู่เมือง แต่ถ้าคนมันกลัวแล้วมันใช้ประโยชน์กับมัน มันกลัวนี่มันกลัวอะไร ใครเป็นคนกลัว นี่ทำไมเอ็งเก่งนัก อยู่กับหมู่คณะ อยู่ในสังคมนี่แหม.. คุยโม้อวดนัก ธรรมะท่วมหัว เวลาไปเจอประสบการณ์สิ่งใดทำไมมันดิ้นรน ทำไมมันกวัดแกว่งขนาดนี้

ฉะนั้นต้องเอาให้อยู่.. ต้องเอาให้อยู่นะ ต้องมีสติ ต้องมีปัญญาของมัน ต้องบังคับมัน เห็นไหม เพราะอาศัยความกลัวนั้นมันไม่คิดออกนอกเรื่อง มันคิดแต่เรื่องกลัว มันเหมือนปลาในสุ่ม มันชักใกล้เข้ามาแล้ว ถ้าปลานอกสุ่ม เวลาเราอยู่ในแม่น้ำนี่จับปลาก็จับแสนยาก เวลาเราสุ่มปลา นี่ปลาอยู่ในสุ่มแล้ว เราจะล้วงในสุ่มนั้นน่ะ ทีนี้ความกลัวมันก็อยู่ในหัวอกเรานี่แหละ ความกลัวก็อยู่ที่ใจเรานี่แหละ ถ้าความกลัวอยู่ที่เรา เราจะเอาสติปัญญาอย่างไร?

มันแก้ไขของมัน เห็นไหม ดูสิมันแก้ไขของมัน มันดูความกลัวของมันเข้ามา นี่เพราะอาศัยความกลัว พุทโธ พุทโธ มันก็สงบเข้ามาได้ พอสงบเข้ามาได้มันอาศัยอย่างนั้น นี่สัปปายะ อาศัยสถานที่อย่างนั้นเพื่อจะค้นคว้าหัวใจของเรา.. หัวใจที่มันดิ้นรนอยู่นี้ ชีวิตนี้ที่มันดิ้นรนอยู่นี้ ดูสิเวลาพระอรหันต์ที่สิ้นสุดแห่งทุกข์ไปแล้ว เขามีธรรมธาตุในหัวใจเหมือนกัน

แต่ของเรานี่เราก็จะแสวงหาเหมือนกัน ถ้าไม่แสวงหามันจะเอาอะไรมา เราไม่ทำงานจะมีเงินทองมาใช้ได้อย่างไร เราไม่ทำมาหากินเราจะมีอะไรเป็นเครื่องอยู่อาศัย เราไม่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราไม่ตั้งสติขึ้นมานี่ สติมันจะมีขึ้นมาได้อย่างไร สมาธิมันจะมีมาได้อย่างไร สติปัญญามันจะมีขึ้นมาได้อย่างไรถ้าเราไม่ขวนขวายของเรา ถ้าขวนขวายก็ว่าเป็นความอยาก ขวนขวายนี่เป็นความทุกข์.. ก็มันทุกข์น่ะสิ จะแก้ทุกข์ไง

นี่ทุกข์ทำมาหากินมันก็ทุกข์อันหนึ่งนะ ทุกข์นั่งสมาธิ ภาวนา ทุกข์เดินจงกรมมันก็ทุกข์อันหนึ่งนะ มันก็ทุกข์ทั้งนั้นแหละ ทุกข์เป็นอริยสัจ ทุกข์เป็นความจริง เราเผชิญกับความจริง ไม่ใช่ทุกข์แล้วจะกลบเกลื่อนมัน จะลบเลือนไม่ให้เห็นมัน ในเมื่อมีความทุกข์เราก็เผชิญหน้ากับมันสิ อะไรมันเป็นทุกข์ล่ะ ทุกข์เพราะว่ามันยึด ทุกข์เพราะว่ามันโง่ ทุกข์เพราะว่ามันไม่เข้าใจสิ่งใด อะไรมันทุกข์ ไล่มันเข้าไป

จิตมันเป็นทุกข์ จิตมันก็เป็นนามธรรม ร่างกายมันทุกข์ ร่างกายมันก็เกิดมาเพราะเวรกรรม นี่เงินเป็นทุกข์ เงินก็เอามาใช้สอยเพื่อประโยชน์ได้ นี่อะไรมันเป็นทุกข์ล่ะ อะไรเป็นทุกข์ ไม่มีอะไรเป็นทุกข์เลย เพราะความยึดมั่นถือมั่นเป็นทุกข์ แล้วยึดมั่นนี่ยึดมั่นในอะไรล่ะ ก็ยึดมั่น ในอารมณ์ความรู้สึกนี่แหละ แล้วอารมณ์ความรู้สึกมันคืออะไรล่ะ.. ไม่เห็น! แต่เวลามันทุกข์ขึ้นมา เวลากิเลสมันขี้รดบนหัวใจนะ มันขี้คือความคิด อู้ฮู.. มันคิดร้อยแปดเลย แล้วมันก็ไปแล้ว เสียใจ ปวดใจ

นี่ไงกิเลสมันมาขี้ใส่หัวใจแล้วมันก็ไป แล้วเราก็ไปอมทุกข์อยู่นั่น แล้วเวลาจะหาความทุกข์ก็หาความทุกข์ไม่เจออีก นี่ถ้ามีสติปัญญาขึ้นมา เห็นไหม ทุกข์มันเกิดจากอะไร เกิดจากมึงโง่นี่ไง มึงไปคิดทำไม จิตนี่เสวยอารมณ์ทำไม เวลาผ่านมาทำไมตะครุบมันทั้งนั้น ทำไมอะไรมาก็ตะครุบหมดเลย ทำไมมันปล่อยวางไม่ได้

ถ้ามันปล่อยวางได้ เห็นไหม ความคิดอย่างนี้เราก็คิดมาร้อยชาติพันชาติ ความคิดอย่างนี้เรื่องมันเกิดไปแล้ว พอเรื่องมันเกิดไปแล้วมันก็คือแล้วไปแล้ว คิดไป นี่ผู้ที่เขาทำเขาก็สร้างเวรสร้างกรรมไปแล้ว เราเป็นผู้รับวิบาก รับแรงกระทบนั้น ถ้าแรงกระทบนั้นมันก็เพราะมีเวรมีกรรมต่อกัน พอใช้ปัญญามันเข้าใจแล้วมันก็ปล่อยวางหมด

ปล่อยวางหมด มันเป็นอย่างนี้เอง นี่ด้วยความไม่เข้าใจของเรา เราพูดสิ่งใดออกไป ไปกระทบกระเทือนคนอื่น เห็นไหม เราพูดไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ไอ้คนที่มันฟังไปแล้วมันก็เจ็บปวดของมันไป นี่เราก็เหมือนกัน เขาพูดออกมาด้วยรู้เท่าไม่ถึงการณ์หรือด้วยแรงเสียดสี หรือด้วยความจงใจ มันก็เรื่องของเขา

เรารักษาหัวใจเราได้ไหมล่ะ ถ้ารักษาหัวใจแล้วมันก็จบไง ถ้ามันจบลงที่นี่ เห็นไหม หัวใจเราก็ปลอดโปร่ง นี่อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน หัวใจเรา เรารักษาหัวใจของเราได้มันก็จบ ถ้าเรารักษาหัวใจเราได้นะ รักษาหัวใจแล้วมันสงบสงัดเข้ามา มันก็ใช้ปัญญาเข้ามา ชำระล้างมันเข้าไป ถ้าชำระล้างเข้าไปนี่จะเห็นคุณของศาสนา

ศาสนธรรม คำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศาสนธรรม ศาสนพิธี ศาสนวัตถุ นี่ศาสนธรรมที่เราจะแสวงหากันอยู่นี้ คำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โอปนยิโก เรียกร้องสัตว์ทั้งหลายมาดูธรรม.. ธรรมมันอยู่ที่ไหนล่ะ ธรรมมันอยู่ที่ตู้พระไตรปิฎกใช่ไหม กราบธรรมมากราบตู้พระไตรปิฎก กราบตู้ธรรมกันหรือ

แต่ถ้ามันสัมผัสธรรม เห็นไหม นี่หัวใจที่มันสัมผัส หัวใจนี้มันได้รับรู้ ตอนนี้หัวใจมันโดนตัณหา มันดิ้นรน ดูสิการกระทำอะไรที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ นี่เราคิดว่าเป็นเรื่องปกติของเรา แต่มันกระทบกันไปหมดเลยนะ ยิ่งสถานะต่างๆ ยิ่งสถานะยิ่งสูงส่งขึ้นมา มันยิ่งกระทบกระเทือนลึกซึ้งมาก ฉะนั้นเราต้องมีสตินะ

เรามีสติของเรา เราทำอะไรนี่ แต่ถ้ามันเป็นการเตือนกัน การสั่งสอนกัน ดูสิเวลาเขาเล่นกีฬา เห็นไหม นักฟุตบอลเวลาเข้าด้ายเข้าเข็ม กรรมการเป่าปี๊ดเดียว อู้ฮู.. เขาจะรุมกระทืบกรรมการเลย เพราะเขากำลังจะได้เสียกัน ทีนี้โลกก็เหมือนกัน เราเตือนเขานี่เหมือนกับเราเป่านกหวีดไป สังคมเขายันกลับเลย เขาปี๊ดไปเลย เขาว่าไอ้คนเป่าบ้า เขากำลังจะได้เสียกันอยู่

นี่ก็เหมือนกัน ถ้ารุนแรง รุนแรงอย่างนี้ รุนแรงเพื่อเตือนสติ ถ้าแรงต้องแรง เบาต้องเบา อยู่ที่เหตุและผล.. ฉะนั้นเราจะดูใจของเรานะ สัปปายะ ๔ เห็นไหม สถานที่ อาหาร ครูบาอาจารย์ หมู่คณะเป็นสัปปายะ ฉะนั้นเวลาเรานี่เราก็เตือนเขามาเยอะแล้ว

ฉะนั้นเราจะประกาศนะ.. ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เวียนเทียนไม่มี จะภาวนาอย่างเดียว แล้วสิ่งใดที่มันรุ่มร่ามเกินไปก็จะต้องสะบัดออก สะบัดออก จะไม่ให้สิ่งใดรุ่มร่ามเกินไป แล้วเราจะต้องมีหลักมีเกณฑ์เป็นแบบอย่าง ถ้ามันมีได้นะ ถ้ามันมีไม่ได้เขาว่าบ้า เขาหาแต่ความสุขความสงบกัน ไอ้เรานี่ก็หาแต่ความทุกข์ความสงบกัน

หาความทุกข์ความสงบนะ ถ้ามันไม่ทุกข์มันไม่ยาก มันไม่มีการกระทำมันสงบไม่ได้หรอก แต่เขาหาความสุขสงบกันนั้น เขาหาธรรมะตลาด เขาว่ามันจะสุขสงบได้ในตลาด ในสังคมที่เขาคลุกเคล้ากัน แต่เราจะหาจากทุกข์แล้วสงบ จากทุกข์จากยากแล้วสงบ เราจะหาที่จากวิเวกสงัด ฉะนั้นถ้าใครมาทำให้สิ่งนี้มันกระทบกระเทือน เราจะต้องฟันอย่างเดียว เอวัง